8 สุดยอดทีม เจ้าของทริปเปิลแชมป์แห่งยุโรป

การคว้าแชมป์สักรายการอาจไม่ใช่เรื่องยากสำหรับสโมสรยักษ์ใหญ่ แต่การคว้าแชมป์ 3 รายการหลักภายในฤดูกาลเดียวถือเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก โดยในประวัติศาสตร์มีทีมที่สามารถคว้าทริปเปิลแชมป์แห่งยุโรปได้เพียง 8 ครั้งเท่านั้น ทั้งนี้ทริปเปิลแชมป์แห่งยุโรป ประกอบไปด้วยแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศ, แชมป์บอลถ้วยหลักของประเทศ และแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ/ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก                 1. เซลติก ฤดูกาล 1966-67 เซลติกถือเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลที่สามารถคว้าทริปเปิลแชมป์ในฤดูกาลเดียว เริ่มจากการคว้าแชมป์ลีกสก็อตเหนือคู่แข่งเพียง 3 แต้ม แถมยิงไปถึง 111 ประตู จาก 34 นัด ก่อนจะเอาชนะอเบอร์ดีนในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลสก็อตติชคัพ ปิดท้ายด้วยแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ที่พลิกกลับมาชนะอินเตอร์ มิลานไปได้ 2-1 ไม่เพียงเท่านั้น ทีมม้าลายขาวเขียวยังคว้าแชมป์ได้อีก 2 รายการ คือ สก็อตติชลีกคัพ และกลาสโกว์คัพ โดยยิงประตูรวมทั้งฤดูกาล 192 ประตู ซึ่งถือเป็นสถิติโลกจนถึงปัจจุบัน                 2. อาแจ๊กซ์ ฤดูกาล 1971-72 อาแจ๊กซ์ ในยุคที่นำทัพโดยโยฮัน ครัฟฟ์ สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ดัตช์โดยแพ้เพียงแค่นัดเดียว ตามด้วยแชมป์ดัตช์คัพที่ยิงประตูถล่มทลายทุกนัด ก่อนที่ศูนย์หน้าทีมชาติเนเธอร์แลนด์จะยิงคนเดียว 2 …

อาร์แซน แวงเกอร์ กุนซือต่างชาติผู้สร้างตำนานไร้พ่ายหนึ่งเดียวบนดินแดนผู้ดี

ก่อนที่พรีเมียร์ลีกจะเต็มไปด้วยผู้จัดการทีมต่างชาติอย่างในปัจจุบัน ทุกสโมสรนิยมเลือกใช้ผู้จัดการทีมที่มาจากเครือจักรภพเท่านั้น ด้วยความเชื่อว่าคนจากสหราชอาจักรถึงจะเข้าใจวัฒนธรรมฟุตบอลอังกฤษและพาทีมประสบความสำเร็จ แต่แล้วแนวความคิดชาตินิยมนี้ก็ถูกหักล้างลงเมื่อ อาร์เซน่อล เลือกแต่งตั้ง “อาร์แซน แวงเกอร์” เป็นผู้จัดการทีมในปี 1996 กุนซือชาวฝรั่งเศสได้พาทีมปืนใหญ่กวาดแชมป์มากมายบนเกาะอังกฤษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยไม่แพ้ใครตลอดทั้งฤดูกาล อาร์เซน่อลถือเป็นหนึ่งในสโมสรระดับบิ๊กของอังกฤษ ในช่วงทศวรรษ 1930 ทีมปืนใหญ่คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้ถึง 5 สมัย ก่อนที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จะมาหยุดความร้อนแรงของพวกเขาลง อาร์เซน่อลกลับมาเป็นทีมหัวแถวอีกครั้งในยุคของจอร์จ เกรแฮม ด้วยการทำทีมเน้นเกมรับที่เหนียวแน่น ส่งผลให้เดอะกันเนอร์คว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 ได้ถึง 2 สมัย แต่เมื่อลีกสูงสุดเปลี่ยนผ่านมาสู่พรีเมียร์ลีก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งด้วยสไตล์การเล่นเกมบุกที่ตื่นเต้นเร้าใจ ผู้บริหารของอารเซน่อลจึงตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการแต่งตั้งผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรก อาร์แซน แวงเกอร์ ได้ทำการเปลี่ยน บอริ่งอาร์เซน่อล ให้กลายเป็นทีมที่เล่นบอลอย่างสวยงาม เน้นจ่ายบอลสั้นในพื้นที่แคบ ๆ และมีการเข้าทำประตูที่รวดเร็ว หลังเข้ารับตำแหน่งนายใหญ่แห่งทีมลอนดอนเหนือ แวงเกอร์ได้ทำการปรับปรุงสนามซ้อม ปรับเปลี่ยนรูปแบบการฝึกซ้อม ควบคุมอาหาร และห้ามนักเตะดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ รวมไปถึงนำเข้านักเตะต่างชาติฝีเท้าฉกาจฉกรรจ์ในราคาย่อมเยาว์ จนอาเซน่อลก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งไล่ล่าแชมป์กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอย่างเต็มตัว และเพียงฤดูกาลที่สองกุนซือเมืองน้ำหอมก็พาทีมปืนใหญ่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก พ่วงด้วยแชมป์เอฟเอคัพ นับเป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์เป็นสมัยที่สองของสโมสร …

เมื่อปีศาจแดง คบเด็กสร้างแชมป์

ปกติแล้วสโมสรยักษ์ใหญ่จะเต็มไปด้วยนักเตะซีเนียร์ผู้มากประสบการณ์เป็นกำลังหลักของทีม โดยมีนักเตะดาวรุ่งอายุน้อยสอดแทรกขึ้นมาเป็นกำลังเสริม แต่สำหรับพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นสโมสรที่มีค่าเฉลี่ยอายุนักเตะไม่ถึง 26 ปี รวมถึงยังจัดทีม 11 ตัวจริงที่มีอายุเฉลี่ยน้อยที่สุดลงแข่งขันในลีกอีกด้วย นับตั้งแต่ โอเล่ กุนน่าร์ โซลชา เข้ามากุมบังเหียนทีมปีศาจแดง กุนซือชาวนอร์เวย์ก็ได้ทำการยกเครื่องขุนพลปีศาจแดงใหม่ด้วยทำการขายตัวนักเตะอายุเยอะออกจากทีม ไม่ว่าจะเป็น มารูยาน เฟลไลนี่, อันโตนีโอ วาเลนเซีย, มัตเตโอ ดาเมียน และแอชลี่ย์ ยัง นอกจากนั้นยังปล่อยยืมนักเตะอย่างอเล็กซิส ซานเชส, คริส สมอลลิ่ง และมาร์กอส โรโฮ และซื้อนักเตะอายุน้อยทั้งอารอน วาน-บิสซาก้า และดาเนียล เจมส์ เข้ามาทดแทน โดยใช้นักเตะจากทีมเยาวชนเป็นกำลังหลักของทีมทั้งมาร์คัส แรชฟอร์ด, สก็อต แม็คโทมิเนย์, เจสซี่ ลินการ์ด และอันเดรียส เปเรร่า แถมสองนักเตะดาวรุ่งอย่างเมสัน กรีนวู้ด และแบรนดอน วิลเลี่ยมส์ ยังได้รับโอกาสลงสนามอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลให้ในฤดูกาลนี้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด …

ทำความรู้จัก “ลาลีกา สเปน” ผ่านเรื่องราวความเป็นที่สุดแห่งศึกฟุตบอลแดนกระทิง

ลาลีกา ฟุตบอลลีกสูงสุดของสเปนได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 5 ลีกชั้นนำของยุโรป เวทีแห่งนี้มีโอกาสต้อนรับนักเตะระดับโลกมากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น เฟเรนซ์ ปุสกัส, ดิเอโก้ มาราโดน่า, โรมาริโอ, โยฮัน ครัฟฟ์, ไมเคิล เลาดรูป, ซีเนดีน ซีดาน, เดวิด เบ็คแฮม หรือแม้แต่สองนักเตะที่ดีที่สุดของโลกในยุคปัจจุบันอย่างลิโอเนล เมสซี่ และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซึ่งนักเตะทั้งหมดมีส่วนช่วยสร้างประวัติศาสตร์มากมาย และนี่คือที่สุดของเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในลาลีกา นับตั้งแต่ก่อตั้งลีกเมื่อปี 1929 มีเพียง 3 สโมสรเท่านั้นที่ลงเล่นครบทุกฤดูกาลในลาลีกา ได้แก่ เรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า และแอธเลติก บิลเบา โดยสโมสรที่ครองแชมป์มากที่สุด คือ เรอัล มาดริด ซึ่งกวาดแชมป์ไปได้ถึง 33 ครั้ง แถมยังเป็นทีมเดียวที่คว้าแชมป์ต่อเนื่อง 5 สมัยติดต่อกัน ส่วนตำแหน่งนักเตะที่คว้าแชมป์ลาลีกามากที่สุดตกเป็นของ “ฟรานซิสโก้ เกนโต้” จากทีมราชันชุดขาว โดยศูนย์หน้าชาวสเปนชูถ้วยแชมป์ไปทั้งหมด …

“ฮูลิแกน” ต้นต่อยุคมืดของวงการฟุตบอล และโศกนาฏกรรมเฮย์เซล

ฮูลิแกน นับเป็นรอยด่างแห่งวงการฟุตบอล เนื่องจากอันธพาลลูกหนังเหล่านี้จะคอยสร้างความเดือนร้อนให้กับทุกที่เมื่อเดินทางไปถึง ไม่ว่าจะเป็นการทำลายสิ่งของสาธารณะ ทำร้ายร่างกายแฟนบอล ลามไปจนถึงการก่อจลาจล ทั้งที่เรียกตัวเองว่าแฟนบอลแต่กลับสร้างปัญหาให้กับสโมสรที่ตามเชียร์อย่างไม่หยุดหย่อน ทั้งถูกปรับทั้งถูกแบน จนในที่สุดการทะเลาะวิวาทก็ถูกพัฒนาความรุนแรงไปเป็นโศกนาฏกรรมที่มีผู้เสียชีวิตมากมาย ซึ่งชาติที่มีปัญหาเรื่องฮูลิแกนมากที่สุดคืออังกฤษ ประเทศที่ถูกขนานนามให้เป็นเมืองผู้ดี ฮูลิแกน คาดว่าเป็นคำที่เพี้ยนมาจาก ฮูลิแฮน ซึ่งเป็นนามสกุลของอันธพาลชื่อดังชาวไอริชนาม แพทริค ฮูลิแฮน ที่ก่อคดีฆ่าตำรวจจนถูกจำคุกตลอดชีวิต โดยกองเชียร์หัวรุนแรงอยู่คู่กับฟุตบอลอังกฤษมาอย่างยาวนาน แต่มาทวีความรุนแรงขึ้นในยุค 70-80 อันเนื่องมาจากวิกฤตเศรษฐกิจที่ทำให้แรงงานจำนวนมากต้องตกงาน โดยเฉพาะแรงงานวัยหนุ่มที่ปลดปล่อยความโกรธไปพร้อมกับการเชียร์ฟุตบอล จนเกิดการตั้งกลุ่มฮูลิแกนขึ้นในหมู่แฟนบอลแทบทุกสโมสรในอังกฤษ ซึ่งทำการยกพวกตะลุมบอนกันทั้งนอกและในสนามอยู่บ่อยครั้ง โดยความรุนแรงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศอังกฤษเท่านั้น แต่ยังลุกลามไปถึงการแข่งขันในเวทียุโรป ไม่ว่าจะเป็นการก่อจลาจลของแฟนบอลลีดส์ ยูไนเต็ดในนัดชิงชนะเลิศศึกยูโรเปี้ยนคัพ ปี 1975 หรือแม้แต่การทะเลาะวิวาททั้งก่อนและหลังเกมการแข่งขันของแฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในศึกคัพ วินเนอร์ส คัพ ฤดูกาล 1977-78 เป็นผลให้ทั้งสองทีมจากอังกฤษถูกแบนเป็นเวลา 1 ปี และแล้วการจลาจลก็ทวีความรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นโศกนาฏกรรม ในปี 1985 ลิเวอร์พูลผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพ ซึ่งได้ยูเวนตุสเป็นคู่ต่อกร โดยการแข่งขันถูกกำหนดให้จัดขึ้นที่สนามเฮย์เซล กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยี่ยม แม้หลายฝ่ายจะทัดทานอันเนื่องมาจากความทรุดโทรมของสนาม แต่ยูฟ่าก็ยืนกรานที่จะใช้สนามแห่งนี้ จนกระทั้งในวันแข่งขันก่อนที่เกมจะเริ่มต้นขึ้นไม่นาน แฟนบอลหงส์แดงก็ยกพวกทำลายแนวรั้วเหล็กดัดข้ามไปตะลุมบอนกับแฟนบอลม้าลายอย่างโกลาหล ด้วยความเก่าแก่ของสนามทำให้อัฒจันทร์เกิดการถล่มลงมาเป็นผลให้มีผู้เสียชีวิต 39 คน …

5 ยอดนักเตะที่กลายมาเป็นสุดยอดผู้จัดการทีม

การเป็นนักเตะฝีเท้าฉกาจฉกรรจ์คว้าแชมป์มามากมาย ไม่ได้เป็นการการันตีว่าจะคว้าแชมป์เป็นกอบเป็นกำในบทบาทผู้จัดการทีม ยอดนักเตะหลายต่อหลายคนไปไม่รอดเมื่อทิ้งสตั๊ดมาสวมสูทอยู่ข้างสนาม แต่ก็มีนักฟุตบอลบางคนที่พาทีมประสบความสำเร็จทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ช และนี่คือ 5 ยอดนักเตะที่ผันตัวมาเป็นสุดยอดผู้จัดการทีมในยุคปัจจุบัน 1. ซีเนดีน ซีดาน ในสมัยเป็นนักเตะ ซีเนดีน ซีดาน ถือเป็นหนึ่งในสุดยอดนักเตะแห่งยุค เขาพาต้นสังกัดคว้าแชมป์มากมาย เริ่มตั้งแต่แชมป์อินเตอร์ โตโต้ คัพ กับบอร์กโดซ์, แชมป์เซเรียอา 2 สมัยซ้อนกับยูเวนตุส รวมถึงนำเรอัล มาดริดเป็นแชมป์ลาลีกาและยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นอกจากนั้นยังเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก 1998 และแชมป์ยูโร 2000 ร่วมกับทีมชาติฝรั่งเศส ไม่เพียงเท่านั้นซีดานยังคว้ารางวัลส่วนตัวอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรางวัลบัลลงดอร์ในปี 1998 ซีดานเริ่มต้นงานโค้ชด้วยการคุมทีมสำรองของเรอัล มาดริด ก่อนจะก้าวขึ้นมาคุมทีมชุดใหญ่ในเวลาไม่นาน เขาพาทีมราชันชุดขาวเป็นแชมป์ลาลีกาหลังจากห่างกันไปถึง 4 ฤดูกาล และกลายเป็นผู้จัดการทีมคนแรกที่คว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 สมัยติดต่อกัน 2. เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถือเป็นมิดฟิลด์ตัวรับเบอร์ต้น ๆ ของโลก ช่วยให้บาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลีกา 6 สมัย, แชมป์โคปา …

“แอตเลติโก มาดริด” พระรองตลอดกาลแห่งศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

แอตเลติโก มาดริด เป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในระดับประเทศและระดับทวีป พวกเขาถือเป็นทีมขาประจำในเวทียุโรป ซึ่งผ่านการคว้าแชมป์มาแล้วหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ, แชมป์ยูโรป้าลีก และแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ แต่สำหรับแชมป์ยุโรปถ้วยหลักอย่างยูโรเปี้ยนคัพ หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทีมตราหมีกลับไม่เคยคว้ามาประดับตู้โชว์ได้เลยสักครั้ง ทั้งที่มีโอกาสเข้าชิงชนะเลิศถึง 3 หน แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ทุกครั้งไป แอตเลติโก มาดริด เริ่มต้นเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพครั้งแรกเมื่อฤดูกาล 1958-59 โดยสามารถทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะถูกเขี่ยตกรอบด้วยน้ำมือของเรอัล มาดริด คู่อริร่วมเมืองที่ผ่านเข้าไปคว้าแชมป์ในที่สุด หลังจากนั้นฤดูกาล 1970-71 ทีมตราหมีผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศอีกครั้ง แต่ก็กลายเป็นทางผ่านให้อาแจ็กซ์เข้าไปเป็นแชมป์อีกทีม จนกระทั้งฤดูกาล 1973-74 แอตเลติโก มาดริด ล้มเซลติกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรก โดยมีบาเยิร์น มิวนิค ที่นำทัพโดยฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์  และแกรด มุลเลอร์ เป็นด่านสุดท้าย ในเกมนัดชิงทั้งคู่ไม่สามารถยิงประตูได้ตลอด 90 นาทีจนต้องต่อเวลาพิเศษออกไป แล้วก็เป็นหลุยส์ อราโกเนส ที่ทำประตูให้ทีมตราหมีขึ้นนำในนาทีที่ 114 เท่ากับเอื้อมมือข้างหนึ่งไปคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ไว้ได้แล้ว แต่ในนาทีสุดท้ายทีมเสือใต้ก็ไล่ตามตีเสมอได้สำเร็จ ส่งผลให้แชมป์ในมือทีมตราหมีมีอันต้องหลุดลอยไป เมื่อยังไม่อาจหาผู้ชนะได้ทั้งสองทีมจึงต้องเริ่มแข่งกันใหม่ในนัดรีเพลย์ ซึ่งนัดนี้ทีมจากเมืองเบียร์มาด้วยความดุดันและเอาชนะไปได้อย่างท่วมท้น  …

“โจซิป อิลิซิซ” ขิงแก่แห่งศึกเซเรียอา

ตามสถิติแล้วจุดพีคของนักฟุตบอลยุคปัจจุบันจะอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 23-27 ปี หลังจากนั้นผลงานในสนามจะค่อย ๆ ดร็อปลงเมื่ออายุผ่านหลัก 30 นี่จึงเป็นเหตุผลให้หลายสโมสรนิยมต่อสัญญาแบบปีต่อปีกับนักเตะที่อายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป แต่สถิติดังกล่าวใช้ไม่ได้กับ “โจซิป อิลิซิซ” ที่กำลังโชว์ฟอร์มได้อย่างร้อนแรงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตค้าแข้งของเจ้าตัวเลยทีเดียว ทั้งที่อายุอานามล่วงเข้าสู่วัย 32 ปีเข้าไปแล้ว โจซิป อิลิซิซ โลดเล่นอยู่ในเซเรียอามาแล้วถึง 10 ฤดูกาล แต่เพิ่งจะมาสร้างชื่อเป็นยอดดาวยิงได้สำเร็จในฤดูกาลนี้เอง แนวรุกชาวสโลวีเนียเริ่มต้นชีวิตค้าแข้งในอิตาลีกับปาแลร์โม เมื่อฤดูกาล 2010-11 เขากลายมาเป็นกำลังหลักของทีมอินทรีชมพูดำทันทีในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุก โดยทำได้ 8 ประตู กับอีก 8 แอสซิสต์ในฤดูกาลแรก แต่ด้วยความโดดเด่นในการหาที่ว่างและสัญชาตญาณในการเข้าทำประตูทำให้เขาถูกดันขึ้นไปเล่นในตำแหน่งศูนย์หน้าตัวเป้าจนกลายเป็นดาวซัลโวของทีมในฤดูกาล 2012-13 จนถูกฟิออเรนติน่าดึงไปร่วมทีม แม้อิลิซิซจะกลับไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรุกให้กับทีมม่วงมหากาฬ เขาก็ยังยิงประตูจนกลายเป็นดาวซัลโวประจำทีมได้ถึง 2 ฤดูกาล แต่แล้วเมื่ออายุเข้าใกล้เลข 3 ฟิออเรนติน่าก็เลือกที่จะไม่ขยายสัญญาแล้วขายเขาให้อตาลันต้า ด้วยค่าตัว 5.5 ล้านยูโร แม้จะถูกมองเป็นส่วนเกินในทีมฟิออเรนติน่า แต่การย้ายมาร่วมทีมอตาลันต้าในวัย 30 ปี กลับทำให้เขาค่อย ๆ ฉายแววการเป็นยอดดาวยิงขึ้นเรื่อย ๆ …

อนาคตที่ยังเป็นเครื่องหมายคำถามของ “อองตวน กรีซมันน์”

แม้จะเพิ่งย้ายมาร่วมทีมบาร์เซโลน่าได้ไม่ถึงปี อองตวน กรีซมันน์ กลับมีข่าวเตรียมย้ายออกจากสโมสรอยู่เป็นระยะ เกิดอะไรขึ้นกับนักเตะที่มีดีกรีเป็นถึงแชมป์ฟุตบอลโลก แถมยังเคยเป็นเป้าหมายหลักในการเสริมทัพของบาร์ซ่ามาหลายปี แล้วเหตุใดช่วงฮันนีมูนจึงสั้นถึงเพียงนี้ กรีซมันน์กับบาร์เซโลน่า มีข่าวเกี่ยวโยงกันมาตั้งแต่ปี 2016 หลังดาวยิงชาวฝรั่งเศสทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและคว้ารางวัลรองเท้าทองคำในศึกฟุตบอลยูโร แต่เมื่อแอตเลติโก มาดริด ถูกแบนจากการซื้อนักเตะใหม่ในฤดูกาล 2017-18 กรีซมันน์จึงเลือกต่อสัญญายาวและอยู่กับทีมต่อไป ซึ่งฤดูกาลนั้นดาวยิงเมืองน้ำหอมโชว์ผลงานเยี่ยมนำทัพตราหมีเป็นแชมป์ยูโรป้าลีก แต่กลับถูกรุมโห่จากแฟนบอลตัวเองเนื่องจากมีข่าวว่าเขาแอบไปเจรจากับบาร์ซ่าอย่างลับ ๆ กรีซมันน์สยบข่าวด้วยการต่อสัญญากับทีมออกไปอีก 5 ปี พ่วงด้วยเงื่อนไขค่าฉีกสัญญามูลค่า 200 ล้านยูโร แต่จะลดลงเหลือ 120 ล้านยูโรเมื่อผ่านไป 1 ปี แต่แล้วก็เกิดจุดหักเหอีกครั้ง เมื่อรางวัลบัลลงดอร์ 2018 ประกาศผลให้กรีซมันน์ได้เพียงอันดับ 3 ทั้งที่เขามีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมจากการพาทีมตราหมีคว้าแชมป์ยูโรป้าลีก และยิง 4 ประตูช่วยให้ทีมชาติฝรั่งเศสครองแชมป์ฟุตบอลโลกที่รัสเซีย ความคิดเรื่องการย้ายไปร่วมทีมใหม่ที่จะช่วยให้เขาประสบความสำเร็จมากกว่าจึงเกิดขึ้น ทันทีที่จบฤดูกาล 2018-19 กรีซมันน์ได้ออกประกาศว่าจะย้ายออกจากทีมตราหมี และเมื่อค่าฉีกสัญญาลดลงมาเหลือ 120 ล้านยูโร เขาก็ได้ย้ายไปร่วมทีมบาร์เซโลน่าสมใจ แม้จะมีดราม่าเรื่องส่วนต่างของค่าฉีกสัญญาระหว่างสองสโมสรก็ตาม กรีซมันน์เป็นนักเตะที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในแนวรุก มีทั้งความเร็วและเทคนิคแพรวพราวในแบบฉบับที่บาร์เซโลน่าต้องการ แต่เมื่อได้ตัวมาร่วมทีมเขากลับทิ้งฟอร์มเก่งของตัวเองไว้ในถ้ำหมี ยิงได้เพียง 14 ประตู จากการลงสนาม …

ย้อนรอยพรีเมียร์ลีก เส้นทางสู่ลีกอันดับหนึ่งแห่งวงการฟุตบอล

ก่อนจะกลายมาเป็นพรีเมียร์ลีกที่แฟนบอลทั่วโลกคุ้นเคยอย่างทุกวันนี้ เดิมทีลีกสูงสุดของอังกฤษใช้ชื่อว่า ดิวิชั่น 1 ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “ฟุตบอลลีก” องค์กรฟุตบอลที่จัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 นับเป็นลีกฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่ด้วยความตกต่ำของวงการฟุตบอลอังกฤษ และการจัดการผลประโยชน์ให้แก่สโมสรชั้นนำ ทำให้สโมสรในลีกสูงสุดพร้อมใจกันแยกตัวออกมาตั้งลีกของตัวเองในชื่อว่า เอฟเอ พรีเมียร์ลีก เมื่อปี ค.ศ. 1999 ในยุค 80 วงการฟุตบอลอังกฤษอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดอันเนื่องมาจากแฟนบอลหัวรุนแรงที่รู้จักกันในนาม “ฮูลิแกนส์” ที่คอยก่อจลาจล ทำลายสิ่งของสาธารณะ และทำร้ายร่างกายแฟนบอลคู่แข่งถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต จนทำให้แฟนบอลจำนวนมากไม่กล้าเสี่ยงชีวิตเข้าชมการแข่งขันในสนาม เมื่อจำนวนผู้เข้าชมเกมลดลง ก็ย่อมส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของแต่ละสโมสร ยิ่งหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโรห์ รัฐบาลอังกฤษได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนจนเป็นที่มาของข้อกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุงอัฒจันทร์สนามแข่งที่เก่าแก่ทรุดโทรมเสียใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้ชมภายในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะถูกยึดใบอนุญาต ซึ่งการปรับปรุงอัฒจันทร์นั้นต้องใช้งบประมาณมหาศาล ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาทางการเงินที่แต่ละสโมสรกำลังประสบอยู่ให้เลวร้ายลงไปอีก ในระหว่างนั้นบรรดาผู้บริหารจาก 5 สโมสรยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ และเอฟเวอร์ตัน ได้มีแนวคิดในการจัดตั้งลีกใหม่ เพื่อการจัดสรรส่วนแบ่งจากค่าลิขสิทธิ์ด้วยตัวเอง เนื่องจากเวลานั้นค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดการแข่งขันที่พวกเขาได้รับต้องหารร่วมกันถึง 92 ทีม จาก 4 ดิวิชั่น และเมื่อ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก …