ย้อนรอยพรีเมียร์ลีก เส้นทางสู่ลีกอันดับหนึ่งแห่งวงการฟุตบอล

ก่อนจะกลายมาเป็นพรีเมียร์ลีกที่แฟนบอลทั่วโลกคุ้นเคยอย่างทุกวันนี้ เดิมทีลีกสูงสุดของอังกฤษใช้ชื่อว่า ดิวิชั่น 1 ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ “ฟุตบอลลีก” องค์กรฟุตบอลที่จัดการแข่งขันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1888 นับเป็นลีกฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่ด้วยความตกต่ำของวงการฟุตบอลอังกฤษ และการจัดการผลประโยชน์ให้แก่สโมสรชั้นนำ ทำให้สโมสรในลีกสูงสุดพร้อมใจกันแยกตัวออกมาตั้งลีกของตัวเองในชื่อว่า เอฟเอ พรีเมียร์ลีก เมื่อปี ค.ศ. 1999

ในยุค 80 วงการฟุตบอลอังกฤษอยู่ในช่วงตกต่ำที่สุดอันเนื่องมาจากแฟนบอลหัวรุนแรงที่รู้จักกันในนาม “ฮูลิแกนส์” ที่คอยก่อจลาจล ทำลายสิ่งของสาธารณะ และทำร้ายร่างกายแฟนบอลคู่แข่งถึงขั้นมีผู้เสียชีวิต จนทำให้แฟนบอลจำนวนมากไม่กล้าเสี่ยงชีวิตเข้าชมการแข่งขันในสนาม เมื่อจำนวนผู้เข้าชมเกมลดลง ก็ย่อมส่งผลโดยตรงต่อรายได้ของแต่ละสโมสร ยิ่งหลังเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ฮิลส์โบโรห์ รัฐบาลอังกฤษได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนจนเป็นที่มาของข้อกำหนดให้ทุกสโมสรต้องปรับปรุงอัฒจันทร์สนามแข่งที่เก่าแก่ทรุดโทรมเสียใหม่ เพื่อความปลอดภัยของผู้ชมภายในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นจะถูกยึดใบอนุญาต ซึ่งการปรับปรุงอัฒจันทร์นั้นต้องใช้งบประมาณมหาศาล ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาทางการเงินที่แต่ละสโมสรกำลังประสบอยู่ให้เลวร้ายลงไปอีก

ในระหว่างนั้นบรรดาผู้บริหารจาก 5 สโมสรยักษ์ใหญ่ของอังกฤษ ประกอบไปด้วยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, ลิเวอร์พูล, อาร์เซน่อล, ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ และเอฟเวอร์ตัน ได้มีแนวคิดในการจัดตั้งลีกใหม่ เพื่อการจัดสรรส่วนแบ่งจากค่าลิขสิทธิ์ด้วยตัวเอง เนื่องจากเวลานั้นค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดการแข่งขันที่พวกเขาได้รับต้องหารร่วมกันถึง 92 ทีม จาก 4 ดิวิชั่น และเมื่อ รูเพิร์ต เมอร์ด็อก เจ้าพ่อวงการสื่อและเจ้าของสถานีโทรทัศน์ BSkyB ได้ยื่นข้อเสนอซื้อลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดลีกใหม่ด้วยมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 304 ล้านปอนด์ในระยะเวลา 5 ปี ทำให้หลังการแข่งขันฤดูกาล 1991-92 สิ้นสุดลง ทีมอันดับที่ 1-19 ของดิวิชั่น 1 และอีก 3 ทีมที่ได้เลื่อนชั้นจากดิวิชั่น 2 ก็ได้ประกาศแยกตัวจากองค์กรฟุตบอลลีก แล้วก่อตั้งลีกใหม่ภายใต้ชื่อ เอฟเอ พรีเมียร์ลีก ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ

พรีเมียร์ลีก ทำการจดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด มีสมาคมฟุตบอลอังกฤษเป็นหุ้นส่วนใหญ่ ร่วมกับ 22 สโมสรที่เข้าแข่งขันเวลานั้น โดยหากทีมใดตกชั้น จะส่งต่อความเป็นหุ่นส่วนให้กับทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาแทน เมื่อค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดมูลค่ามหาศาลมีตัวหารเพียงแค่ 22 ทีม ก่อนจะลดเหลือ 20 ทีมในฤดูกาล 1995-96 ทำให้แต่ละสโมสรมีเงินสำหรับพัฒนาสนามของตัวเองให้ทันสมัยขึ้น รวมถึงการซื้อนักเตะชื่อดังจากต่างประเทศมาโชว์ฝีเท้าบนเกาะอังกฤษ นอกจากนั้น BSkyB ซึ่งเป็นโทรทัศน์แบบเก็บเงินค่าสมาชิก ได้นำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ในการถ่ายทอดสด รวมทั้งผลิตรายการที่นำเสนอข่าวสารและเรื่องราวแต่ละสโมสร แถมยังปรับเวลาการแข่งขันจากเดิมที่จะเตะทุกวันเสาร์บ่าย 3 โมง เป็นหลายช่วงเวลาในวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันจันทร์ เพื่อสอดคล้องกับการติดตามของแฟนบอล ทั้งหมดนี้ทำให้พรีเมียร์ลีกไม่เพียงได้รับความนิยมจากคนอังกฤษเท่านั้น แต่ยังครองใจแฟนบอลทั่วโลกจนกลายเป็นลีกอันดับหนึ่งที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในโลก

ปัจจุบันพรีเมียร์ลีกได้ทำการถ่ายทอดสดไปถึง 212 ชาติ มีผู้ติดตามรับชมกว่า 4,700 ล้านคนทั่วโลก มีมูลค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดสูงถึง 1,665 ล้านปอนด์ และด้วยผลตอบแทนมหาศาลนี่เองทำให้ทีมขนาดเล็กและขนาดกลางเล่นอย่างเต็มที่ทุกนัดที่ลงสนามเพื่อความอยู่รอดในลีก จึงทำให้พรีเมียร์ลีกเต็มไปด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น ตื่นเต้นเร้าใจมากกว่าทุกลีกทั่วโลก