“แอตเลติโก มาดริด” พระรองตลอดกาลแห่งศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก

แอตเลติโก มาดริด เป็นหนึ่งในสโมสรที่ประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในระดับประเทศและระดับทวีป พวกเขาถือเป็นทีมขาประจำในเวทียุโรป ซึ่งผ่านการคว้าแชมป์มาแล้วหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นแชมป์คัพ วินเนอร์ส คัพ, แชมป์ยูโรป้าลีก และแชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ แต่สำหรับแชมป์ยุโรปถ้วยหลักอย่างยูโรเปี้ยนคัพ หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ทีมตราหมีกลับไม่เคยคว้ามาประดับตู้โชว์ได้เลยสักครั้ง ทั้งที่มีโอกาสเข้าชิงชนะเลิศถึง 3 หน แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ทุกครั้งไป

แอตเลติโก มาดริด เริ่มต้นเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลยูโรเปี้ยนคัพครั้งแรกเมื่อฤดูกาล 1958-59 โดยสามารถทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนจะถูกเขี่ยตกรอบด้วยน้ำมือของเรอัล มาดริด คู่อริร่วมเมืองที่ผ่านเข้าไปคว้าแชมป์ในที่สุด หลังจากนั้นฤดูกาล 1970-71 ทีมตราหมีผ่านเข้าสู่รอบรองชนะเลิศอีกครั้ง แต่ก็กลายเป็นทางผ่านให้อาแจ็กซ์เข้าไปเป็นแชมป์อีกทีม

จนกระทั้งฤดูกาล 1973-74 แอตเลติโก มาดริด ล้มเซลติกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรก โดยมีบาเยิร์น มิวนิค ที่นำทัพโดยฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์  และแกรด มุลเลอร์ เป็นด่านสุดท้าย ในเกมนัดชิงทั้งคู่ไม่สามารถยิงประตูได้ตลอด 90 นาทีจนต้องต่อเวลาพิเศษออกไป แล้วก็เป็นหลุยส์ อราโกเนส ที่ทำประตูให้ทีมตราหมีขึ้นนำในนาทีที่ 114 เท่ากับเอื้อมมือข้างหนึ่งไปคว้าถ้วยบิ๊กเอียร์ไว้ได้แล้ว แต่ในนาทีสุดท้ายทีมเสือใต้ก็ไล่ตามตีเสมอได้สำเร็จ ส่งผลให้แชมป์ในมือทีมตราหมีมีอันต้องหลุดลอยไป เมื่อยังไม่อาจหาผู้ชนะได้ทั้งสองทีมจึงต้องเริ่มแข่งกันใหม่ในนัดรีเพลย์ ซึ่งนัดนี้ทีมจากเมืองเบียร์มาด้วยความดุดันและเอาชนะไปได้อย่างท่วมท้น  4-0 ยัดเยียดตำแหน่งรองแชมป์ให้ทีมจากแดนกระทิงอย่างไม่เต็มใจ หลังจากนั้นแอตเลติโก มาดริด ก็พยายามก้าวสู่รอบชิงอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล จนศึกยูโรเปี้ยนคัพปรับรูปแบบการแข่งขันกลายมาเป็นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก พวกเขาจึงได้โอกาสเข้าใกล้แชมป์อีกหน

ในฤดูกาล 2013-14 แอตเลติโก มาดริด ภายใต้การคุมทีมของดิเอโก ซิเมโอเน่ จัดการล้มเชลซีเข้าไปชิงชนะเลิศกับเรอัล มาดริด นับเป็นศึกดาร์บี้แมตช์นัดชิงชนะเลิศครั้งแรกของแชมป์ยุโรปถ้วยหลัก โดยก่อนลงเตะนัดชิงทีมตราหมีเพิ่งจะคว้าแชมป์ลาลีกามาหมาด ๆ พวกเขาจึงมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าสามารถเป็นแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกสมัยแรกได้ แล้วเมื่อเริ่มเกมไปได้ 36 นาที ดิเอโก โกดิน ก็โหม่งให้ทีมตราหมีออกนำไปก่อน เกมเกือบจะลงเอยด้วยชัยชนะของมาดริดฝั่งแดงอยู่แล้ว จนกระทั้งเซร์คิโอ รามอส มาโหม่งตีเสมอในช่วงทดเวลาเจ็บนาทีที่ 3 ก่อนที่มาดริดฝั่งขาวจะยิงรัวเพิ่มอีก 3 ประตูในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่งผลให้ทีมตราหมีต้องอกหักในนาทีสุดท้ายอีกครั้ง

หลังจากนั้นเพียง 2 ปี ศึกล้างตาอย่างดาร์บี้แมตช์นัดชิงก็เกิดขึ้นอีกหน แต่คราวนี้เรอัล มาดริดเป็นฝ่ายที่ออกนำบ้าง ก่อนจะถูกไล่ตีเสมอ จนต้องใช้การดวลจุดโทษตัดสินหาผู้ชนะ แล้วก็เป็นราชันชุดขาวที่ดวลเป้าได้แม่นยำกว่ายิงเข้าไปทั้ง 5 คน ย้ำแค้นให้ทีมตราหมีเป็นได้แค่รองแชมป์ต่อไป

ด้วยความพ่ายแพ้ในรอบชิงชนะเลิศทั้ง 3 ครั้ง ทำให้แอตเลติโก มาดริด จำต้องรับบทพระรองต่อไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ว่ากันว่าความพ่ายแพ้ทั้งสองครั้งต่อเรอัล มาดริด มีที่มาจากอาถรรพ์นัดชิงชนะเลิศที่ว่าเมื่อสองทีมจากชาติเดียวกันเข้าชิงกันเอง ทีมที่เคยเป็นแชมป์มากกว่าจะคว้าแชมป์ไปครอง ดังนั้นหากแอตเลติโก มาดริดเข้าชิงได้อีกครั้ง คงต้องแช่งให้คู่ชิงของตัวเองไม่ใช่ทีมจากสเปนจึงจะมีโอกาสเป็นพระเอกกับเขาบ้าง

เครดิตภาพ: https://www.essentiallysports.com/wp-content/uploads/2016/08/article-urn-publicid-ap.org-f78f56e2a0e04a1589ac9d1bec782c44-155pCQnr2j36161be0ea249c7868-958_634x429.jpg